omnijung
3 วิธี รักษาฝ้ากระ ยอดฮิต กินยา vs เลเซอร์ vs ทายาแก้ฝ้า เลือกวิธีไหนดี ในการรักษาฝ้ากระ?
ฝ้า (Melasma) เป็นปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นก็เพราะเมื่อใบหน้าของเราเกิดฝ้าขึ้นมา
ก็ทำใจได้เลยว่าทั้งความสวยงามและความมั่นใจที่เคยมีจะลดลงไปมากกว่าครึ่ง!
ฝ้า หรือ Melasma นั้นมีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายของเราผลิตเมลานิน (Melanin pigment) มากเกินไปอันเนื่องมาจากการที่ผิวได้รับรังสียูวี (UV) มากขึ้น จนทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ คล้ำเสีย เกิดเป็นปื้นสีแดงหรือสีน้ำตาล นอกจากนี้สาเหตุยังอาจมาจากกรรมพันธุ์ เครื่องสำอาง ไปจนถึงการทานยาคุมกำเนิดบางชนิด ซึ่งฝ้าเป็นปัญหาผิวที่รักษาได้ยาก แต่ในปัจจุบันก็มีวิธีรักษาฝ้ามากมายไม่ว่าจะเป็นการกินยารักษาฝ้า การเลเซอร์ไปจรถึงการใช้ครีมรักษาฝ้า
แต่วิธีไหนจะดีต่อสุขภาพผิวมากที่สุด วันนี้เราจะลองมาดูกันค่ะ
รักษาฝ้าด้วยการ “กินยา”
ยารักษาฝ้าชนิดรับประทาน (Tranexamic acid) นั้น ตามปกติแล้วยากินชนิดนี้เป็นยาที่มีคุณสมบัติทำให้เลือดแข็งตัว แต่สาเหตุที่มีการนำมาใช้ในการรักษาฝ้าในผู้ที่ไม่เลือกวิธีเลเซอร์หรือไม่ใช้ครีมรักษาฝ้าก็คือ กลไกการออกฤทธิ์ของตัวยาที่มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ที่ชื่อว่า Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ตัวสำคัญในการสร้างเม็ดสีเมลานิน ผู้ที่ทานยาจึงรู้สึกได้ว่าฝ้าจางลง แต่อย่างไรก็ตามการทานยารักษาฝ้านั้นไม่ได้รับการรับรองเรื่องความปลอดภัยในระยะยาวนะคะ นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อ เป็นต้น ดังนั้นเราจึงไม่ควรเลือกซื้อยารักษาฝ้ามาทานเองเด็ดขาด
รักษาฝ้าด้วยการ “เลเซอร์
การเลเซอร์เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับความนิยมสำหรับคนที่อยากรักษาฝ้าแบบเห็นผลเร็วมากกว่าการทาครีมรักษาฝ้าโดยการเลเซอร์นั้นเป็นการใช้คลื่นหรือพลังงานความร้อนเพื่อเข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวให้เกิดกระบวนการผลัดผิวเร็วกว่าปกติทำให้ผิวบริเวณที่เป็นฝ้าถูกผลัดออกไปและทำให้สีผิวกลับมาเรียบเนียนสม่ำเสมออีกครั้ง แต่ถึงแม้ว่าการรักษาฝ้าด้วยวิธีเลเซอร์จะปลอดภัย แต่ก็มีราคาสูงและที่สำคัญยังมีผลข้างเคียงคือ ทำให้ใบหน้าแดงหลังเลเซอร์ นอกจากนี้ยังทำให้ผิวของคุณบอบบางและไวต่อแสงมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรใช้วิธีเลเซอร์ติดต่อกัน แต่ควรเว้นช่วงห่าง 2-3 สัปดาห์ ขึ้นไปก่อนจะกลับไปทำเลเซอร์อีกครั้งและควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ
รักษาฝ้าด้วยการ “ทายาแก้ฝ้า”
การทายาแก้ฝ้าหรือใช้ครีมรักษาฝ้าโดยเฉพาะ ควรเลือกใช้ครีมรักษาฝ้าที่ไม่ผสมสารอันตรายที่เร่งผิวขาวหรือทำให้ผิวบางอย่างสารปรอท ไฮโดรควิโนน หรือสเตียร์รอยด์ เพราะ นอกจากจะทำให้หน้าติดสาร ผิวคล้ำหรือฝ้า ชัดขึ้นเมื่อหยุดใช้แล้ว ยังทำให้ผิวไวต่อแสง มีอาการหน้าแดงง่าย หรือ แสบร้อนเมื่อโดนแดด
ควรเลือกทาครีมบำรุงผิวที่มีส่วนจากธรรมชาติ แทน สารเคมี เพราะปลอดภัยต่อผิวมากกว่า
ครีมทาฝ้าจากสารสกัดธรรมชาติ มักมีส่วนผสม ของ AHA, วิตามินซี, อาร์บูติน (Arbutin), กรดโคจิก (Kojic) , สารสกัด Genestein จาก ถั่วเหลือง , Delentigo หรือ สารสกัดจากธรรมชาติอื่นๆ ที่มีส่วนช่วย ผลัดเซลผิวอ่อนๆ บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดเลือนจุดด่างดำ ฝ้า และกระให้จางลง โดยไม่ทำให้ผิวบาง
การใช้ครีมรักษาฝ้าที่ผสมสารสกัดธรรมชาตินั้น จะช่วยบำรุงผิวที่เผชิญฏับปัญหาฝ้า กระ รวมถึงจุดด่างดำ ให้ค่อยๆ ลดเลือนลงอย่างเป็นธรรมชาติ ปลอดภัย ไม่เร่งการผลัดผิว ไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงและไม่ทำให้ผิวระคายเคือง จึงถือได้ว่าการใช้ครีมรักษาฝ้า เป็นวิธีที่เห็นผลจริง แม้จะใช้เวลานานกว่าการเลเซอร์แต่ในระยะยาวนั้นครีมรักษาฝ้าจากสารสกัดธรรมชาติจะปลอดภัยทั้งต่อสุขภาพและต่อผิวของเรามากกว่าแน่นอนค่ะ
ครีมทาฝ้า จากสารสกัดพืช ธรรมชาติ
https://www.omnicosmic.net/phytonutrients
line : https://line.me/R/ti/p/%40cosmic02
โทร: 0970014105